เคล็ดลับการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยยาสีฟันสมุนไพรอย่างถูกวิธี

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยยาสีฟันสมุนไพรอย่างถูกวิธี

การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เพราะช่องปากเป็นจุดเริ่มต้นของการย่อยอาหารและมีบทบาทสำคัญในการสื่อสาร การเลือกใช้ยาสีฟันสมุนไพรเป็นทางเลือกที่ดีและเป็นธรรมชาติในการดูแลช่องปาก บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับการใช้ยาสีฟันสมุนไพรอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากผลิตภัณฑ์นี้

เลือกยาสีฟันสมุนไพรที่มีคุณภาพ

การเลือกยาสีฟันสมุนไพรที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ ตรวจสอบส่วนผสมในยาสีฟันว่ามีสมุนไพรที่มีประโยชน์ เช่น กานพลู (Clove) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ สะระแหน่ (Mint) ที่ช่วยให้ลมหายใจสดชื่น หรือเปลือกขมิ้น (Turmeric) ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย การเลือกยาสีฟันที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติจะช่วยลดการสัมผัสกับสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย

แปรงฟันอย่างถูกวิธี

การแปรงฟันที่ถูกวิธีจะช่วยให้ยาสีฟันสมุนไพรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นด้วยการใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่ม เพื่อป้องกันการทำลายเหงือกและฟัน แปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง ครั้งละสองนาที โดยแปรงฟันในทิศทางวงกลมและเน้นบริเวณรอยต่อระหว่างฟันและเหงือก อย่าลืมแปรงลิ้นเพื่อขจัดแบคทีเรียและทำให้ลมหายใจสดชื่น

ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ

การใช้ไหมขัดฟันเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการดูแลช่องปาก ไหมขัดฟันช่วยขจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่แปรงสีฟันไม่สามารถเข้าถึงได้ ควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุและโรคเหงือก

บ้วนปากด้วยน้ำสมุนไพร

การบ้วนปากด้วยน้ำสมุนไพรสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลช่องปาก เลือกใช้น้ำสมุนไพรที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพร เช่น น้ำมันสะระแหน่ หรือน้ำมันกานพลู ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ การบ้วนปากเป็นเวลา 30 วินาทีหลังจากแปรงฟันจะช่วยให้ช่องปากสะอาดและสดชื่นยิ่งขึ้น

หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ทำลายฟัน

การดูแลสุขภาพช่องปากไม่ได้หมายถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลฟันเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน และอาหารที่มีความเป็นกรดสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว การบริโภคอาหารเหล่านี้มากเกินไปจะทำให้เกิดฟันผุและโรคเหงือกได้ง่าย

ดื่มน้ำมากๆ

การดื่มน้ำเป็นประจำช่วยให้ปากชุ่มชื่นและช่วยล้างคราบจุลินทรีย์ที่สะสมในช่องปาก น้ำยังช่วยให้กระบวนการย่อยอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือก

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อฟัน

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อฟันเป็นสิ่งสำคัญ ควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูง เช่น แครอท แอปเปิ้ล และเซเลอรี ซึ่งช่วยขัดฟันตามธรรมชาติ รวมทั้งอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ชีส และโยเกิร์ต ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของฟัน

พบหมอฟันอย่างสม่ำเสมอ

การพบหมอฟันเพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละสองครั้ง เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันและรักษาโรคในช่องปาก การตรวจสุขภาพช่องปากโดยหมอฟันช่วยให้ตรวจพบปัญหาในระยะแรกเริ่ม และสามารถรับการรักษาได้ทันท่วงที

หลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เกินความจำเป็น

แม้ว่าฟลูออไรด์จะมีประโยชน์ในการป้องกันฟันผุ แต่การใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เกินความจำเป็นอาจทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น ฟันเป็นจุดขาวหรือสีน้ำตาล ดังนั้น การเลือกใช้ยาสีฟันสมุนไพรที่ไม่มีฟลูออไรด์หรือมีในปริมาณที่เหมาะสมจึงเป็นทางเลือกที่ดี

เก็บยาสีฟันสมุนไพรให้ถูกวิธี

การเก็บยาสีฟันสมุนไพรให้ถูกวิธีจะช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เก็บยาสีฟันในที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง หรือในที่ที่มีความร้อนสูง การปิดฝาหลอดยาสีฟันให้แน่นหลังการใช้งานจะช่วยป้องกันการเสื่อมคุณภาพ


การดูแลสุขภาพช่องปากด้วยยาสีฟันสมุนไพรอย่างถูกวิธีเป็นการลงทุนในสุขภาพที่คุ้มค่า ด้วยเคล็ดลับและขั้นตอนที่ได้แนะนำในบทความนี้ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าช่องปากและฟันของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีและมีประสิทธิภาพ การใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติไม่เพียงแค่ช่วยลดการสัมผัสกับสารเคมี แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพช่องปากที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน

สุขภาพช่องปากที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลที่ดี ใช้ยาสีฟันสมุนไพรเพื่อสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงและสดชื่นอยู่เสมอ

ฟอกสีฟัน แล้วผิวฟันบาง-เสียวฟัน จริงหรือไม่?

ฟอกสีฟัน แล้วผิวฟันบาง-เสียวฟัน จริงหรือไม่?

ฟอกสีฟัน เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันเหลือง ฟันมีคราบต่างๆ เพื่อเสริมความมั่นใจในการพบปะผู้คน แต่การจะฟอกสีฟันนั้นก็มีความเชื่อที่พูดกันปากต่อปากว่ามีผลเสีย และส่งผลให้ผิวฟันหลังจากการฟอกสีนั้นจะบางลงและอาการเสียวฟันที่จะตามมา เฟรชมิ้น เรามีคำตอบนั้น

กระบวนการฟอกสีฟันนั้น มีการใช้สารเหลวที่มีส่วนประกอบของ Hydrogen peroxide หรือ Carbamide peroxide ซึ่งแตกตัวแล้วได้สาร Peroxide ซึ่งเป็น Oxidizing agent ซึ่งจะเข้าไปทำปฎิกิริยากับโมเลกุลอนินทรีย์สารในฟันให้แตกตัวออก ทำให้สารสีหรือ Chromagen ในเนื้อฟัน ซึ่งเจ้า Chromagen นี้มีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่และทึบแสงแตกตัวออกให้มีขนาดเล็กลงและโปร่งแสงจึงทำให้ฟันนั้นสว่างขึ้น ดูขาวขึ้นนั่นเอง

Peroxide ทำให้ผิวฟันบางลงหรือเปล่า?

สาร Peroxide ที่ใช้สำหรับฟอกสีฟันนั้น มีหน้าที่เข้าไปเพื่อแตกโมเลกุลสีในฟันออกเท่านั้น ซึ่งจะให้ฟันดูสว่างและขาวขึ้น ไม่ได้มีผลกระทบกับผิวฟันและเคลือบฟันแต่อย่างใด

อาการเสียวฟันนั้นจะมีอยู่ประมาณ 2-3 วันหลังการฟอกสีฟัน เนื่องจากเกิดจากปฎิกิริยาของสารที่ทำการฟอกสีฟัน ที่เข้าไปแตกโมเลกุลสารสีในเนื้อฟัน โดยสารดังกล่าวจะดึงน้ำออกมาจากตัวฟัน ส่งผลให้ปลายประสาทที่อยู่ในตัวฟันถูกกระตุ้นให้ไวต่อความรู้สึก ร้อน-เย็น ต่างๆ จึงทำให้เราเกิดความรู้สึกเสียวฟันชั่วคราวนั่นเอง

ฟอกสีฟันแล้วฟันขาวนานแค่ไหน?

ประสิทธิภาพการฟอกสีฟันขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารฟอกสีฟันความสามารถในการแทรกซึมเข้าไปหาโมเลกุลสีระยะเวลา และจำนวนครั้งที่สารฟอกสีฟันได้สัมผัสกับโมเลกุลสีในเนื้อฟัน ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารที่นำมาใช้ฟอกสีฟันที่จะแทรกซึมเข้าไปแตกตัวสารสีที่อยู่ในฟัน รวมไปถึงจำนวนครั้งที่สารดังกล่าวเข้าไปสัมผัสสารสีในฟัน ไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่นอนได้

การฟอกสีฟัน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ฟันแลดูสว่าง หรือขาวขึ้นได้ในเวลาไม่นาน แต่ใครที่ไม่อยากเสียเงิน อาจลองวิธีที่ช่วยให้ฟันขาวขึ้นตามธรรมชาติได้ เช่น ถึงแม้ว่าการฟอกสีฟันนั้นจะไม่ส่งผลกระทบกับฟันตามที่กล่าวมาข้างต้น แต่ด้วยการฟอกสีฟันนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร อาจลองวิธีอื่นๆ ที่จะทำให้ฟันของเราขาวขึ้นได้ ดังนี้

ทำผิดมาตลอดชีวิต!! แปรงฟันแห้ง คืออะไร? ต่างจากแปรงปกติอย่างไร

ทำผิดมาตลอดชีวิต!! แปรงฟันแห้ง คืออะไร? ต่างจากแปรงปกติอย่างไร

แปรงฟันแห้ง คืออะไร?

ทำเอาหลายคนสับสน งุนงง ถึงกรณีที่มีการเปิดเผยว่าการแปรงฟันที่เราทำกันมาตลอดชีวิตนั้นเป็นวิธีที่ผิดและไม่ได้ช่วยในการบำรุงรักษาฟันเลย เฟรชมิ้นเลยจะมาเสนอข้อเท็จจริงว่า การแปรงฟันแห้งนั้นเป็นอย่างไร? ทำได้จริงหรือไม่? แล้วผลลัพธ์ที่ได้นั้นแตกต่างจากการแปรงแบบปกติที่เราทำกันนั้นมากน้อยแค่ไหน ไปดูกันเล้ยย!!

ไม่ต้องใช้น้ำ

การแปรงฟันแบบแห้งนั้นจะไม่มีการใช้น้ำตั้งแต่ก่อนแปรงและหลังแปรง ขั้นตอนการแปรงนั้น เราไม่ต้องบ้วนปากด้วยน้ำและไม่ต้องทำให้แปรงเปียกก่อนบีบยาสีฟันลงบนแปรง เพื่อลดปริมาณฟองที่เกิดขึ้นซึ่งจะทำให้แปรงลำบากหรืออาจนำแปรงสีฟันล้างน้ำก่อน แล้วทำการสะบัดแปรงให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะบีบยาสีฟันลงไปและทำการแปรงฟันตามปกติ จากนั้นไม่ต้องบ้วนปากด้วยน้ำเพื่อล้างยาสีฟันออก ทำเพียงบ้วนน้ำลายและฟองยาสีฟันที่ติดอยู่ในปากทิ้งก็เพียงพอแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นการแปรงฟันแบบแห้งแล้วจำเป็นต้องงดน้ำ งดอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันนั้นสามารถคงประสิทธิภาพได้เต็มที่

แล้วคราบยาสีฟันที่เหลือล่ะ?

เป็นคำถามที่ทุกคนต้องคิดไว้แน่นอนว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่? ตรงนี้ตอบได้เลยว่า สารฟลูออไรด์นั้นหากมีปริมาณที่เหมาะสมนั้นจะไม่มีอันตรายใดๆ ส่วนสาร โซเดียมลอริลซัลเฟต ที่มีไว้เพื่อลดแรงตึงผิวนั้นจะมีปริมาณที่น้อยเกินกว่าจะทำอันตรายใดๆ ต่อร่างกายได้เช่นกัน

ผลลัพธ์ดีกว่า?

ด้วยการที่การแปรงฟันแห้งนั้นไม่มีขั้นตอนการบ้วนปากหลังแปรงฟันเสร็จ สารฟลูออไรด์ที่อยู่ในยาสีฟันจะทำหน้าที่ยึดเกาะกับผิวฟันได้ดีขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการป้องกันฟันผุได้ดีขึ้นและยาวนานขึ้นในแต่ละวัน

หลังการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์

ฟลูออไรด์จะมีความเข้มข้นมากในครึ่งชั่วโมงแรก ซึ่งฟลูออไรด์ที่ค้างอยู่ในช่วงครึ่งชั่วโมงนี้มีประโยชน์อย่างมากในการซ่อมแซมผิวฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันผุ ถ้าหลังแปรงฟันยิ่งบ้วนน้ำหลายครั้งปริมาณความเข้มข้นของฟลูออไรด์ในปากจะลดลงอย่างมาก ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุด้อยลงตามไปด้วย การการงดน้ำและอาหารหลังการแปรงแบบแห้งนั้นก็เป็นเหตุผลเดียวกันนั่นเอง ทำให้การป้องกันฟันผุจะลดน้อยลงและถ้าเพิ่งแปรงฟันเสร็จแล้ว มาดื่มน้ำหรือทานอาหารทันทีฟลูออไรด์ในช่องปากจะยิ่งลดลงมากขึ้น
โดยการแปรงฟันแห้งนั้นสามารถแปรงได้วันละ 2 ครั้ง เหมือนการแปรงปกติ คือการแปรงหลังอาหารเช้าและอีกครั้งก่อนนอน โดยไม่รับประทานอะไรอีก ครั้งละ 2 นาทีเป็นอย่างน้อย และเพิ่มเติมการขจัดเศษอาหารในซอกฟันด้วยการใช้ไหมขัดฟันก่อนการแปรงในแต่ละครั้ง เพื่อเปิดผิวฟันให้เราแปรงเข้าไปได้ทั่วทุกซอกฟัน ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น การแปรงฟันแห้งนั้่นจะช่วยให้การแปรงฟันในแต่ละครั้งมีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุจากสารฟลูออไรด์ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

ยาสีฟัน แตกต่างที่ส่วนผสม ก่อนซื้ออย่าลืมเช็ก

ยาสีฟัน แตกต่างที่ส่วนผสม ก่อนซื้ออย่าลืมเช็ก

ยาสีฟัน ในท้องตลาดปัจจุบันนอกจากจะมีแบบสูตรปกติที่เราคุ้นเคยกัน ผู้ค้าแต่ละแบรนด์ก็จะมีสูตรใหม่ๆ ส่วนผสมใหม่ๆออกมาอยู่เสมอ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้มีทางเลือกที่มากขึ้น โดยที่ผู้บริโภคเองก็อาจไม่แน่ใจในสรรพคุณที่อยู่บนฉลากของยาสีฟันว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาช่องปากของเรานั้นได้ดีกว่าเดิมหรือไม่ หรือสุดท้ายแล้วก็เหมือนๆกันเพียงแค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ดูน่าสนใจขึ้นเท่านั้น เฟรชมิ้น จึงขอมาอธิบายว่าจะเลือกยาสีฟันให้เหมาะกับเราอย่างไรจากการดูส่วนผสมจากฉลากในห้างร้านที่เราไปซื้อกัน

สารขัดถู (Abrasives)

คือสารที่มักผสมอยู่ในยาสีฟันทั่วไป ซึ่งมีหน้าที่กัดกร่อน ขจัดคราบแบคทีเรียและคราบต่างๆที่มายึดเกาะกับฟันของเรา โดยสารอนุภาคเล็กๆเหล่านี้ได้แก่ แคลเซียมคาร์บอเนต ซิลิกา อลูมิเนียมออกไซด์และแมกนีเซียมคาร์บอเนต นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการนำ "ชาร์โคล" (Charcoal) เข้ามาเป็นส่วนผสมในยาสีฟัน ซึ่งก็มีฤทธิ์กัดกร่อนเช่นกันแต่มีความรุนแรงมากกว่าสารที่กล่าวมาข้างต้น

สารดูดความชื้น (Humectants)

เป็นสารที่ผสมเข้าเพื่อให้ยาสีฟันมีสัมผัสเหมือนนุ่มนิ่มเหมือนเจล ทำให้ผู้ใช้แปรงได้ง่ายขึ้น ทั้งยังมีสารสร้างฟองและสารแต่งรสแต่งกลิ่นเพื่อให้รสสัมผัสต่างๆเมื่ออยู่ในปากแล้ว สามารถใช้งานได้โดยไม่เกิดผลกระทบกับผู้ใช้ โดยที่สารเหล่านี้ไม่ได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำความสะอาดแต่อย่างใด

ถือเป็นสารสำคัญของยาสีฟันที่เราจะได้ยินกันอยู่ตลอด โดยฉพาะในฝั่งต่างประเทศ บางประเทศนั้นระบุเลยว่าในยาสีฟันจำเป็นต้องมีสาร "ฟลูออไรด์" เป็นส่วนผสม หน้าที่ของฟลูออไรด์นั้นเป็นเกราะเคลือบฟันป้องกันการทำลายฟันจากแบคทีเรียในช่องปาก ดังนั้นการเลือกซื้อยาสีฟัน ในส่วนผสมนั้นควรมีฟลูออไรด์เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย หรือสารที่มีชื่อว่า "ไฮดรอกซีอะพาไทด์" (Hydroxyapatite) ซึ่งสามารถใช้แทนฟลูออไรด์ได้ ในกรณีผู้ใช้แพ้ฟลูออไรด์แต่อย่างไรก็ตาม ทันตแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังแนะนำให้ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์จะดีกว่า

จากข้อมูลดังกล่าวก็จะสรุปได้ว่า ไม่ว่าผู้บริโภคจะเลือกซื้อยาสีฟันที่มีส่วนผสมอย่างไรก็ตาม ข้อที่ควรคำนึงถึงคือควรเลือกซื้อยาสีฟันที่มีสารฟลูออไรด์เป็นส่วนผสมอยู่ เพราะฟลูออไรด์มีหน้าที่หลักที่สำคัญมากในการปกป้องฟันจากแบคทีเรียในช่องปาก ยาสีฟันที่ใช้จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับฟลูออไรด์ที่ผสมเข้าไปในยาสีฟันนั่นเอง

ข่อย ต้นกำเนิดแปรงสีฟัน มีสรรพคุณแค่ไหน มาดูกัน

ข่อย ต้นกำเนิดแปรงสีฟัน มีสรรพคุณแค่ไหน มาดูกัน

ตามเท่าที่มีหลักฐานเริ่มต้นจากชาวบาบิโลนและชาวอียิปต์ได้นำกิ่งไม้มาใช้สีฟัน จากนั้นก็เริ่มใช้ "ไม้เคี้ยว" ที่ทำมาจากไม้หอมเพื่อให้มีลมหายใจหอม สดชื่น รากไม้นี้เมื่อเคี้ยวหรือทุบปลายข้างหนึ่งแล้วนำมาขัดฟัน ใยของมันจะชี้ตั้ง คล้ายขนแปรงสีฟันสมัยใหม่ โดยใช้กันแพร่หลายที่จีนและอินเดีย สำหรับประเทศไทยนั้นเชื่อว่าการแปรงฟันนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยา โดยส่วนหนึ่งได้รับการถ่ายทอดหรือเห็นจากพระสงฆ์ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นข้อปฏิบัติว่า หากพระสงฆ์ฉันอาหารแล้วไม่ทำความสะอาดฟัน จะผิดวินัย ซึ่งการทำความสะอาดฟัน ท่านเรียกว่า “เคี้ยวไม้ชำระฟัน” โดยใช้ไม้ข่อย ไม้โสน ไม้รากลำพู ไม้สะเดา มากัดแล้วเคี้ยวไปจนละเอียด เสร็จแล้วคายทิ้งอย่างชานหมาก จนเวลาต่อมาให้กัดปลายให้แตก แล้วนำเอาส่วนที่แตกเป็นฝอย สีไปตามฟัน ซอกฟันต่างๆ

เริ่มต้นเมื่อได้กิ่งข่อยมาแล้ว ที่กิ่งไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป ขนาดสักเท่านิ้วก้อย ยาวประมาณ 5 นิ้ว จากนั้นก็ลอกเปลือกออกนำไปตากแดดพอหมาด ๆ สัก 3 ชั่วโมง กิ่งข่อยที่ตากแดดมาแล้วนั้น เส้นใยจะเหนียวขึ้น เหมาะสำหรับนำไปทุบทำไม้สีฟัน โดยทุบปลายด้านหนึ่งเข้าไปประมาณ 1 นิ้ว ค่อย ๆ ทุบไป พร้อมกับหมุนกิ่งข่อยไปด้วย ขั้นตอนนี้สำคัญมากๆ หากทุบเร็วและแรงเกินไปเส้นใยของใบข่อยจะขาด หากทุบนิ่มเกินไปจะทำให้สีฟันได้ไม่ดี หรือถ้าแข็งเกินไป เส้นใยก็จะตำเหงือกได้เช่นกัน จากนั้นให้ลอกเปลือกไม้รอบนอกออกและสางไยด้วยเข็มอีกครั้ง ก็เป็นอันเสร็จพร้อมนำไปใช้งาน เมื่อทำไม้สีฟันเสร็จแล้ว ยาสีฟันที่เหมาะกับแปรงกิ่งข่อยที่หาได้ง่ายในยุคปัจจุบันนั่นก็คือ เกลือแกง โดยนำเกลือแกงมาตำให้ละเอียด จากนั้นนำไปเผาด้วยหม้อดินร้อนๆ เพื่อฆ่าเชื้อเสียก่อนหรืออาจจะนำถ่านที่ใช้หุงข้าวมาบดผสมลงไปด้วยก็ได้ เพื่อช่วยให้ฟันขาวขึ้น

ยางจากเปลือกข่อยมีฤทธิ์ต้านและฆ่าเชื้อโรค ป้องกันโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียในช่องปาก ป้องกันฟันผุ ลดอาการปวดฟัน โดยเฉพาะใช้รักษาโรคเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันมีการวิจัย โดยใช้แปรงสีฟันกิ่งข่อยกับช่องปากของเด็ก พบว่าการใช้ไม้สีฟันจากข่อยมีประสิทธิภาพดีไม่แตกต่างจากการใช้แปรงสีฟันสมัยใหม่เลย

ข่อยกับการแปรงฟันในยุคปัจจุบัน
แม้ว่าในทุกวันนี้เราจะเลิกการใช้กิ่งไม้มาสีฟันแล้ว ด้วยเหตุผลถึงความยุ่งยากและไม่สะดวกในขั้นตอนการทำก็ตาม แต่ข่อยก็ยังมีความสำคัญในด้านการนำใบข่อยมาสกัดแล้วไปเป็นส่วนผสมในยาสีฟันซึ่งก็มีสรรพคุณในการบำรุงรักษาฟันได้ดีไม่แพ้การใช้กิ่งข่อยมาสีฟันเลย